ความสำคัญและความเป็นมา
ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ได้กล่าวเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาใน มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด กระบวนจัดการศึกษาต้องส่งเสริมผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ
มาตรา 23 การจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษาในเรื่องต่อไปนี้ 1. ความรู้เกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ ครอบครัว ชุมชน ชาติ และสังคมโลก รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทย และระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2. ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์ด้านการจัดการ การบำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน
3. ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทยและการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญา
4. ความรู้และทักษะด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง
5. ความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพ และการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข
มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการดังต่อไป
1. จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
2. ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้ มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ปัญหา
3. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
4. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ต่างๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุล รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา
5.ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียน การสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ
6. การจัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
มาตรา 47 ให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาทุกระดับ
ประกอบด้วย ระบบการประกันคุณภาพภายใน และระบบการประกันคุณภาพภายนอก
ระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 48 ให้หน่วยงานต้นสังกัดและสถานศึกษาจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาและให้ถือว่าการประกันคุณภาพภายในเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหารการศึกษาที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อหน่วยงานต่อสังกัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเปิดเผยต่อสาธารณชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา และเพื่อรองรับการประกันคุณภาพภายนอก
มาตรา 49 ให้มีสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา มีฐานะเป็นองค์การมหาชนทำหน้าที่พัฒนาเกณฑ์ วิธีการประเมินคุณภาพภายนอก และทำการประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อให้มีการตรวจสอบ
คุณภาพของสถานศึกษา โดยคำนึงถึงความมุ่งหมายและหลักการและแนวการจัดการศึกษาในแต่ละระดับตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้
ให้มีการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่งอย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุกห้าปีนับตั้งแต่การประเมินครั้งสุดท้าย และเสนอผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน
มาตรา 50 ให้สถานศึกษาให้ความร่วมมือในการจัดเตรียมเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่มีข้อมูลเกี่ยวข้องกับสถานศึกษา ตลอดจนให้บุคลากร คณะกรรมการของสถานศึกษา รวมทั้งผู้ปกครองและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานศึกษาให้ข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนที่พิจารณาเห็นว่าเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติภารกิจของสถานศึกษา ตามคำร้องขอของสำนักงานรับรองมาตรฐาน และประเมินคุณภาพการศึกษาหรือบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกที่สำนักงานดังกล่าวรับรอง ที่ทำการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษานั้น
มาตรา 51 ในกรณีที่ผลการประเมินภายนอกของสถานศึกษาใดไม่ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดให้สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา จัดทำข้อเสนอแนะการปรับปรุงแก้ไขต่อหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อให้สถานศึกษาปรับปรุงแก้ไขภายในระยะเวลาที่กำหนด หากมิได้ดำเนินการดังกล่าวให้สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษารายงานต่อคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือคณะกรรมการการอุดมศึกษาเพื่อดำเนินการให้มีการปรับปรุงแก้ไข
จากมาตราดังกล่าวทำให้มีหน่วยงานที่ต้องประเมินคุณภาพการศึกษาที่กำเนิดมาพร้อมกับพระราชบัญญัตินี้คือ หน่วยงานประเมินคุณภาพภายนอก โดยกำหนดไว้ในมาตรา 49 ให้มีสำนักงานรับรองมาตรฐาน และการประเมินคุณภาพการศึกษา มีฐานะเป็นองค์การมหาชนทำหน้าที่พัฒนาเกณฑ์ วิธีการประเมินคุณภาพภายนอก และทำการประเมินผลการจัดการศึกษา เพื่อให้มีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยคำนึงถึงความมุ่งหมาย และหลักการ และแนวการจัดการศึกษาในแต่ละระดับตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้
ให้การประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่งอย่างนี้หนึ่งครั้งในทุกห้าปี นับตั้งแต่การประเมินครั้งสุดท้าย และเสนอผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณะชน
จำนวนรอบที่ประเมิน
จำนวนรอบที่ประเมิน
รอบแรก จึงเริ่มตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2543 และครบกำหนด 6 ปี ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติในปี พ.ศ. 2548
รอบที่ 2 เริ่มในปี พ.ศ. 2549 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2553
สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ได้ร่างคำอธิบายมาตรฐาน ตัวบ่งชี้ และเกณฑ์การให้คะแนนการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม(พ.ศ.2554-2558) สำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กรอบแนวคิดเชิงระบบ
สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ได้จัดทำแนวคิดเชิงระบบสำหรับการดำเนินงานของสถานศึกษา เพื่อกำหนดเป้าหมายในการประกันคุณภาพการศึกษาดังนี้
น้ำหนักการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม
สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ได้กำหนดน้ำหนักการประเมินตามมาตรฐาน การประกันคุณภาพภายนอกรอบสาม(พ.ศ. 2554-2558) ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มาตรฐานการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม (พ.ศ. 2554-2558) | น้ำหนักร้อยละ |
1. ผู้เรียนมีคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ | 15 |
1.1 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังของผู้เรียนที่ปฏิบัติหน้าที่นักเรียนที่ดีของโรงเรียน | 5 |
1.2 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังของผู้เรียนที่เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ ผู้ปกครอง | 5 |
1.3 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังของผู้เรียนที่เป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน | 5 |
2. ผู้เรียนมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี | 10 |
2.1 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังของผู้เรียนที่มีสุขภาพดี มีน้ำหนักส่วนสูง และสมรรถภาพทางกายตามเกณฑ์ รวมทั้งรู้จักดูแลตนเองให้มีความปลอดภัย | 5 |
2.2 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังของผู้เรียนที่มีสุขภาพจิตดี มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้อื่น และมีสุนทรียภาพ | 5 |
3. ผู้เรียนมีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน | 15 |
3.1 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังของผู้เรียนมีนิสัยรักการอ่าน สนใจ แสวงหาความรู้จากแหล่งต่างๆ รอบตัว และสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ | 5 |
3.2 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังของผู้เรียนสามารถเรียนรู้เป็นทีมได้ | 5 |
3.3 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังของผู้เรียนสามารถใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู้ | 5 |
4. ผู้เรียน คิดเป็น ทำเป็น | 15 |
4.1 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังของผู้เรียนที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ | 3 |
4.2 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังของผู้เรียนที่มีความสามารถในการคิดสังเคราะห์ | 3 |
4.3 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังของผู้เรียนที่มีความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ | 3 |
4.4 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังของผู้เรียนที่มีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ | 3 |
4.5 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังของผู้เรียนที่มีความสามารถในการแก้ปัญหา | 3 |
5. ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ตามหลักสูตร | 20 |
5.1 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของผู้เรียนในระดับชั้น ป.3 ป.6 ม.3 และม.6 | 3 |
5.2 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของผู้เรียนในระดับชั้น ป.3 ป.6 ม.3 และม.6 | 3 |
5.3 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในระดับชั้น ป.3 ป.6 ม.3 และม.6 | 3 |
5.4 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศาสนา และวัฒนธรรม ของผู้เรียนในระดับชั้น ป.3 ป.6 ม.3 และม.6 | 3 |
5.5 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพละศึกษา ของผู้เรียนในระดับชั้น ป.3 ป.6 ม.3 และม.6 | 2 |
5.6 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะของผู้เรียนในระดับชั้น ป.3 ป.6 ม.3 และม.6 | 2 |
5.7 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีของผู้เรียนในระดับชั้น ป.3 ป.6 ม.3 และม.6 | 2 |
5.8 ระดับสัมฤทธิ์ผลโดยเฉลี่ยสามปีย้อนหลังกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศของผู้เรียนในระดับชั้น ป.3 ป.6 ม.3 และม.6 | 2 |
6. การบริหารและการพัฒนาสถานศึกษา | 15 |
6.1 ระดับความสำเร็จของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการกำกับดูแลและขับเคลื่อนการดำเนินงานของสถานศึกษา | 4 |
6.2 ระดับประสิทธิผลของผู้บริหารสถานศึกษาในการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน และการจัดการศึกษาให้บรรลุวัตถุประสงค์ของสถานศึกษาและกลุ่มสาระการเรียนรู้ | 3 |
6.3 ปริมาณและคุณภาพของครู | 3 |
6.3.1 สถานศึกษามีครูพอเพียง | 1 |
6.3.2 ครูมีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ | 1 |
6.3.3 ครูมีสมรรถนะตามที่กำหนด | 1 |
6.4 ประสิทธิผลการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญใน 8 กลุ่มสาระ ได้แก่ | 4 |
6.4.1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย | 0.5 |
6.4.2 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ | 0.5 |
6.4.3 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ | 0.5 |
6.4.4 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศาสนา และวัฒนธรรม | 0.5 |
6.4.5 กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพละศึกษา | 0.5 |
6.4.6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ | 0.5 |
6.4.7 กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี | 0.5 |
6.4.8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ | 0.5 |
7. การประกันและพัฒนาคุณภาพภายใน | 10 |
7.1 ระบบและกลไกในการประกันคุณภาพภายใน | 3 |
7.2 ผลการประกันคุณภาพภายในโดยต้นสังกัด | 3 |
7.3 การนำผลการประเมินไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพ | 4 |
รวม | 100 |